OPEN Mon - Fri : 08.30 AM - 22.00 PM Sat - Sun : 09.00 AM - 22.00 PM
eTravelWay.com logo
Add Friend Add Friend
ติดตามข่าวสารโปรโมชั่นดีดี

เพิ่มเพื่อน LINE รับข่าวสาร โปรโมชั่น
@etravelway

รับโปรโมชั่นดีดี
Add Friend
เฉพาะคอทัวร์โปรไฟไหม้
ทัวร์ถูกคุณภาพคุ้มค่า
ทัวร์หลุดจอง
เพิ่มเพื่อน LINE ทัวร์ไฟไหม้
@etravelway.fire

เฉพาะคอทัวร์โปรไฟไหม้
แชทผ่าน Facebook ติดต่อผ่าน Facebook
fb.me/etravelway

สอบถามทาง Facebook
Europe Tour   Code : Z11084
Travel By : GF-กัลฟ์ แอร์
cos
Fortuna
Hotel Standard : 4 star |  Days : 20 days 17 nights
ล่องเรือสำราญ Costa Fortuna อิตาลี - สเปน - โปรตุเกส - ยิบรอลตาร์ - โมร็อกโก - ฝรั่งเศส : มิลาน - เจนัว - ซาโวนา - โรม - วาติกัน - กาดิซ - เซบีญ่า - ลิสบอน - ซินทรา - แหลมโรกา - คาสคาย - เอสโทริล - ยิบรอลตาร์ - คาซาบลังกา ราบัต เฟส - บาเลนเซีย - บาร์เซโลนา - มาร์เซย - อาร์ลส์
พักเจนัว 1 คืน - เฟส 1 คืน - มิลาน 2 คืน - พักบนเรือ 13 คืน / รวมเที่ยวทุกพอร์ต - บริการน้ำดื่ม 1 ขวดทุกพอร์ต - รวมทิปแล้ว - มีหัวหน้าทัวร์ดูแลตลอดเส้นทาง

Bangkok(Suvannabhumi Airport) - แวะเปลี่ยนเครื่องบาห์เรน
สนามบินมัลเพนซา เมืองมิลาน - มิลาน - ถ่ายรูป ลาสกาลา - ถ่ายรูปโบสถ์เซนต์แอมโบรส - เจนัว (อิตาลี) - พักโรงแรม
เจนัว - ท่าเรือแห่งอ่าวเจนัว - ชมย่านเมืองเก่า - ท่าเรือซาโวนา (อิตาลี) - เช็กอินขึ้นเรือสำราญ COSTA FORTUNA - 16.30 PM เรือออกจากท่า
6.00 AM เทียบท่าชิวิตาเวกเกีย - โรม - ซิวิตาเวกเกีย (อิตาลี) - เข้าชมกรุงวาติกัน - เข้าชมโบสถ์ซีสทีน - ถ่ายรูปน้ำพุเทรวี - ถ่ายรูปโคลอสเซียม - ถ่ายรูปวิหารแพนธีออน - 15.30 PM กลับขึ้นเรือ - 18.00 PM เรือออกจากท่า
ล่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตลอดวัน - อิสระพักผ่อน ทำกิจกรรมต่างๆบนเรือ
ล่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ตลอดวัน - อิสระพักผ่อน ทำกิจกรรมต่างๆบนเรือ
เรือเทียบท่าเมืองกาดิซ - หอคอย Torre Tavira - เมืองเซบีญ่า - ถ่ายรูปพลาซาเดอเอสปานา - ย่านบาริโอซานตาครูซ - เข้าชมมหาวิหารเซบีญ่า - กลับขึ้นเรือ - 17.00 PM เรือออกจากท่า
10.00 AM เรือเทียบท่าลิสบอน - ชมเมืองซินทรา - แหลมโรกา - คาสคาย - เอสโทริล - ลิสบอน
ลิสบอน (โปรตุเกส) - ถ่ายรูปหอคอยเบเล็ม - เข้าชมวิหารเจโรนิโมส - กลับขึ้นเรือสำราญ - 13.00 PM เรือออกจากท่า
เรือล่องผ่านช่องแคบยิบรอลตาร์ - 10.00 AM เรียบท่าเมืองยิบรอลตาร์ (อังกฤษ) - หินแห่งยิบรอลตาร์ - อุโมงค์แห่งยิบรอลตาร์ - ถนนสายหลักแห่งเมืองยิบรอลตาร์ - อาสนวิหารเซนต์แมรี - 17.00 PM กลับขึ้นเรือสำราญ - 18.00 PM เรือออกจากท่า
07.00 AM เทียบท่าเมืองคาซาบลังกา - เมืองราบัต - ชมด้านนอกของพระราชวังหลวง - สุสานกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 - เมืองเฟส - พักโรงแรมในเมืองเฟส 1 คืน
ชมประตูพระราชวัง - เมเดอร์ซาบูอิมาเนีย - สุสานของมูเล ไอดริส - เมืองคาซาบลังกา - เข้าชม สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 - กลับขึ้นเรือสำราญ - 21.00 PM เรือออกจากท่า
ล่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน - อิสระพักผ่อน ทำกิจกรรมต่างๆบนเรือ
เรือเทียบท่าเมืองบาเลนเซีย - ถ่ายรูปวิหารประจำเมือง - ถ่ายรูปป้อมเซอร์รานอส - ชมเขตเมืองเก่า - ถ่ายรูปอาคารลอนจาเดลาเซดา - ถ่ายรูปสถานีรถไฟสายเหนือ - กลับขึ้นเรือ - 17.00 PM เรือออกจากท่า
8.00 AM เทียบท่าบาร์เซโลนา (สเปน) - ถ่ายรูปวิหารลาซากราดาฟามิเลีย - ถ่ายรูปบ้านของตระกูลบัตโล่ - ถ่ายรูป Palau de la Música Catalana - ถนนคนเดินลารัมบลาส - กลับขึ้นเรือ - 17.30 PM เรือออกจากท่า
8.00 AM เทียบท่าเมืองมาร์เซย - เมืองอาร์ลส์ - เข้าชมโรมัน แอมฟิเธียเตอร์ - เข้าชมโรงละครโรมัน - เข้าชมคริปโตปอรติกุส - ถ่ายรูปโบสถ์แซงต์ โทรแปงค์ - เมืองมาร์เซย - มหาวิหารนอทเทอดาม เดอลาการ์ด - ท่าเรือเก่า - ป้อมแซงต์ฌอง
9.00 AM เรือเทียบท่าเมืองซาโวนา (อิตาลี) - อำลาเรือสำราญ - ช้อปปิ้ง Designer Outlet Serravalle - เมืองมิลาน - พักโรงแรมในมิลาน
เข้าชมปราสาทสฟอร์เซสโก - เข้าชมดูโอโม - ชมกัลเลเรียวิตโตรีโอเอมานูเอล - พักโรงแรมในมิลาน
สนามบินมัลเพนซา - แวะเปลี่ยนเครื่องบาห์เรน
Bangkok(Suvannabhumi Airport)
ไม่รวม ค่าวีซ่าเชงเก้น ประมาณ 4,500 บาท ต่อท่าน - ค่าวีซ่าโมร็อกโก (ธรรมดา) ประมาณ 3,500 บาท ต่อท่าน - ไม่มีเจ้าหน้าที่รับ-ส่งเอกสารวีซ่า โปรดส่งเอกสารทางระบบขนส่ง ตรงถึง Center แผนกวีซ่า - ค่าแปลเอกสารที่ต้องรับรอง เป็นภาษาอังกฤษ (ถ้ามี)
Period :
รายการนี้ยังไม่มีพีเรียดเดินทาง
Download PDF

… ONCE IN A LIFE TIME …

COSTA FORTUNA

อิตาลี-สเปน-โปรตุเกส-ยิบรอลตาร์-โมร็อกโก-ฝรั่งเศส 20 วัน 17 คืน

โดยสายการบิน กัลฟ์แอร์ (GF)

มิลาน - เจนัว - ซาโวนา - โรม - วาติกัน - กาดิซ - เซบีญ่า - ลิสบอน

ซินทรา - แหลมโรกา - คาสคาย - เอสโทริล - ยิบรอลตาร์ - คาซาบลังกา ราบัต เฟส - บาเลนเซีย - บาร์เซโลนา - มาร์เซย - อาร์ลส์

พักเจนัว 1 คืน + เฟส 1 คืน + มิลาน 2 คืน + พักบนเรือ 13 คืน

รวมเที่ยวทุกพอร์ต รวมน้ำดื่ม 1 ขวดทุกพอร์ต

รวมทิปแล้ว หัวหน้าทัวร์ดูแลตลอดเส้นทาง

เดินทาง : วันที่ 5-24 เมษายน 2567 เริ่มต้นท่านละ 189,900.-

รายละเอียดเที่ยวบิน

วันเดินทาง

เที่ยวบิน

ต้นทาง

ปลายทาง

เวลา

วันที่ 5 เม.ย.67

GF 153

กรุงเทพ (BKK)

บาห์เรน (BAH)

15.55 – 19.10

วันที่ 6 เม.ย.67

GF 027

บาห์เรน (BAH)

มิลาน (MXP)

01.40 – 08.45

วันที่ 23 เม.ย.67

GF 022

มิลาน (MXP)

บาห์เรน (BAH)

11.35 - 18.35

วันที่ 23 เม.ย.67

GF 152

บาห์เรน (BAH)

กรุงเทพ (BKK)

22.20 – 09.30+1

- ตารางเวลาบินอาจมีการเปลี่ยนแปลงเวลาได้ ตามประกาศของสายการบิน -

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน 2567

กรุงเทพ - บาห์เรน

13.00 น. หัวหน้าทัวร์รอต้อนรับที่ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตูทางเข้าที่ 7 แถว P เคาน์เตอร์สายการบินกัลฟ์แอร์ (GF)

15.55 น. บินสู่ สนามบินบาห์เรน โดยเที่ยวบิน GF 153

19.10 น. ถึง สนามบินบาห์เรน เปลี่ยนเที่ยวบิน

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2567

บาห์เรน - มิลาน – เจนัว (อิตาลี)

01.40 น. บินสู่ มิลาน ประเทศอิตาลี โดยเที่ยวบิน GF 027

08.45 น. ถึง สนามบินมัลเพนซา เมืองมิลาน (Milan) ประเทศอิตาลี ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 6 ชม.

= ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร =

ชม เมืองมิลาน (Milan / Milano) เมืองที่มีสีสันที่สุดของแคว้นลอมบาร์ดี (Lombardy) ว่ากันว่าชาวพื้นเมือง
มิลานเป็นคนกล้าหาญโดยสายเลือด ทำให้ประวัติศาสตร์และลีลาชีวิตของชาวมิลานค่อนข้างจะหวือหวากว่าคนอิตาลีในถิ่นอื่นๆ ชาวพื้นเมืองมิลานเป็นพวกกัลลิค (Gallic) แต่ถูกโรมันยึดครองในช่วง 222 ปีก่อนคริสตกาลและชาวโรมันนี่เองที่สร้างความเจริญอย่างสูงให้กับมิลาน ปัจจุบันมิลานเป็นเมืองที่เจริญสูงสุดในด้านการค้าอุตสาหกรรม และการธนาคาร

  • แวะถ่ายรูป ลาสกาลา หรือ เตอาโตรอัลลาสกาลา (Teatro alla Scala) โรงละครโอเปร่าที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก เปิดตัวครั้งแรกในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1778 เป็นโรงละครที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในโรงละครโอเปร่าและบัลเลต์ชั้นนำของโลก ตัวอาคารภายนอกงดงามด้วยศิลปะนีโอคลาสสิกที่เรียบง่าย แต่ภายในตกแต่งอย่างหรูหราอลังการด้วยเสาหรูขนาดใหญ่และโถงทางเดินที่ประดับด้วยกระจกวิบวับ สามารถรองรับผู้ชมได้ถึง 2,000 คน
  • แวะถ่ายรูป โบสถ์เซนต์แอมโบรส (Basilica di Sant’Ambrogio) หรือชื่อเดิมคือ Basilica Martyrum โบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 379-386 ในบริเวณที่มีการฝังผู้พลีชีพจากการข่มเหงของชาวโรมันจำนวนมาก ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้ว่าสงครามจะสร้างความเสียหายอย่างหนัก แต่มหาวิหารยังคงตั้งโดดเด่นทั้งภายนอกและภายใน ทำให้เป็นมหาวิหารที่ยังคงรูปแบบดั้งเดิมไว้ได้มากที่สุดของมิลาน

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารท้องถิ่น

บ่าย เดินทางสู่ เมืองเจนัว (Genoa) (ระยะทางประมาณ 150 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.) เมืองท่าทางทะเลที่สำคัญทางตอนเหนือของอิตาลี นอกจากนี้ยังเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเจนัวและแคว้นลิกูเรีย (Liguria) อีกด้วย ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เหมาะสมต่อการเดินเรือ ส่งผลให้เจนัวกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารท้องถิ่น

ที่พัก Hotel Holiday Inn Genoa 4* หรือเทียบเท่า

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน 2567

เจนัว – ซาโวนา (อิตาลี) – COSTA FORTUNA

เช้า รับประทานอาหาร ณ โรงแรมที่พัก

ชม เมืองเจนัว บ้านเกิดของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) นักเดินเรือผู้บุกเบิกชาวอิตาลี และเป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกา นอกจากนี้เจนัวยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่แสดงถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานและมีความงดงามทางสถาปัตยกรรม

  • ชม ท่าเรือแห่งอ่าวเจนัว (Porto Antico) ซึ่งเป็นท่าเรือที่สำคัญมาตั้งแต่อดีต บริเวณโดยรอบประกอบด้วยอาคารต่างๆ มากมาย
  • ประตูทางเข้าท่าเรือ (Porta Siberia) ที่เคยเป็นที่ตั้งของหน่วยศุลกากร ที่ตรวจสินค้าเข้า-ออก
  • ประภาคาร (Lanterna หรือ Lighthouse of Genoa) สูง 77 เมตร นับเป็นประภาคารที่สูงที่สุดในเมืองที่อยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
  • บริเวณกำแพงเมืองและอาคารโบราณสถาปัตยกรรมโรมันที่มีอายุมากกว่า 500 ปี อันเป็นศิลปะที่มีมาตั้งแต่ยุคกลาง
  • บริเวณเมืองเก่า (Old Town) ที่มีตรอกซอกซอยแคบๆ คดเคี้ยวผ่านย่านเก่าแก่ไปถึงย่านใจกลางเมือง ชมด้านนอกของพระราชวัง เปียซซา ซาน มัตเตโอ (Piazza San Matteo) พระราชวังหินอ่อนลายทางสีขาวสลับดำดูเด่นสะดุดตา

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารท้องถิ่น

เดินทางสู่ ท่าเรือเมืองซาโวนา (Port of Savona) (ระยะทางประมาณ 50 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที) เมืองท่าทางทะเลของแคว้นลิกูเรีย อดีตเคยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตเหล็กที่สำคัญของอิตาลี เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสในระหว่างในปี ค.ศ. 1805–1815

เช็กอินขึ้น เรือสำราญ COSTA FORTUNA

16.30 น. เรือออกเดินทางจากท่าเทียบเรือซาโวนา มุ่งหน้าสู่ ท่าเรือเมืองชิวิตาเวกเกีย (อิตาลี)

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ที่พัก COSTA FORTUNA

หลังอาหาร อิสระให้ท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย หรือสนุกสนานกับกิจกรรมต่างๆ บนเรือสำราญ

*** ทางเรือจะมีการจัดกิจกรรมซ้อมขั้นตอนการรักษาความปลอดภัย (Emergency Drill) ผู้โดยสารทุกท่านต้องเข้าร่วมกิจกรรมนี้ ซึ่งใช้เวลาในการซ้อมประมาณ 30 นาที *** (ขึ้นอยู่กับการจัดการของเรือ)

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน 2567

ชิวิตาเวกเกีย - โรม – ซิวิตาเวกเกีย (อิตาลี)

06.00 น. เรือจอดเทียบท่าที่ เมืองชิวิตาเวกเกีย (Civitavecchia) ซึ่งมีความหมายว่า “เมืองโบราณ” เป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลไทร์เรเนียน (Tyrrhenian Sea) ห่างจากกรุงโรมมาทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 80 กม.

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

เดินทางสู่ กรุงโรม (Rome) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอิตาลีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1870 ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา 7 ลูก ตามตำนานเล่าว่า มีทารกฝาแฝดสองคนชื่อ รอมิวลุส (Romulus) และ เรมุส (Remus) ถูกทิ้งไว้ริมแม่น้ำ
ไทเบอร์ ทั้งสองเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของสุนัขจิ้งจอก ต่อมารอมิวลุสฆ่าเรมุสตายเพราะล้ำเส้นเขตหมู่บ้านของตน ซึ่งหมู่บ้านแห่งนั้นก็คือกรุงโรมนั่นเอง

  • ผ่านชม โรมันฟอรัม (Roman Forum) อดีตศูนย์กลางทางศาสนา การเมือง และเศรษฐกิจของอาณาจักรโรมันที่สะท้อนให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมโรมันในช่วง 1,200 ปีที่ผ่านมา ภายในประกอบด้วย วิหารเวสปาเซียน (Temple of Vespasian) สถานกักกันของรัฐ (Mamertine Prison) ซึ่งตามตำนานเล่าว่า เซนต์ปีเตอร์ และ เซนต์พอล เคยทำปาฏิหาริย์ให้น้ำพุพุ่งขึ้นมาจากพื้นเพื่อทำพิธีแบ๊บไทส์ให้แก่นักโทษ ประตูชัยของจักรพรรดิเซปติมุส (The Arch of Septimius Severus) โบสถ์จูเลีย (Basilica Julia) โบสถ์ขนาดใหญ่ที่สร้างโดยจูเลียส ซีซาร์ และสถานที่อื่นๆ อีกมากมาย
  • เข้าชม กรุงวาติกัน (Vatican) ซึ่งเป็นรัฐอิสระมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929 โดยมีพื้นที่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีองค์สันตะปาปาเป็นประมุขสูงสุด มีธงชาติ เพลงชาติ แสตมป์ และเงินตราเป็นของตนเอง มีทหารของตนเองที่ส่งมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เรียกกันว่า สวิสการ์ด (Swiss Guard) สวมเครื่องแบบที่มีสีสันงดงาม
  • เข้าชม โบสถ์ซีสทีน (Sistine Chapel) สถานที่ทำการประชุมเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ งดงามด้วยสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมฝาผนังซึ่งมีภาพวาดต่างๆ อยู่มากมาย ชมภาพเฟรสโก้ที่มีชื่อเสียง ฝีมือไมเคิล แองเจโล (Michelangelo) โดยได้แบ่งเพดานเป็นช่องเล็กๆ 9 ช่องวาดเรื่องราวการกำเนิดโลกและมนุษย์ที่ชื่อว่า “กำเนิดอาดัม”

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารจีน

  • ชมและถ่ายรูป น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) น้ำพุศิลปะบาโรกที่มีชื่อเสียงและใหญ่ที่สุดในกรุงโรม ตั้งอยู่บริเวณทางสามแพร่ง (Tre vie) ที่เป็นจุดสิ้นสุดของสะพานส่งน้ำแวร์จิเน (Acqua Vergine) สะพานส่งน้ำเวอร์โก (Aqua Virgo) และสะพานส่งน้ำของโรมันโบราณ ซึ่งตามประเพณีโรมันมักมีการสร้างน้ำพุตรงปลายสุดของสะพานส่งน้ำ เทรวีจึงเป็นที่มาของชื่อน้ำพุแห่งนี้ น้ำพุเทรวีมีความสูง 26 เมตร กว้าง 49 เมตร รวมไปถึงสระน้ำขนาดใหญ่ด้านหน้า แต่ละวันมีการดึงและพ่นน้ำออกมาใช้มากถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตรเลยทีเดียว
  • ถ่ายรูป โคลอสเซียม (Colosseum) สนามกีฬาหินทรายทรงกลมขนาดใหญ่ 4 ชั้น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเนินเขาพาลาทีน (Palatine Hill) สร้างในปี ค.ศ. 72 สมัยจักรพรรดิเวสปาเซียน (Vespasian) โดยใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปีจึงแล้วเสร็จ เป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่ที่จุผู้ชมได้ถึง 50,000-80,000 คน มีโครงสร้างที่แข็งแรงและระบบระบายน้ำที่ยอดเยี่ยม นับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคโบราณ
  • ถ่ายรูป วิหารแพนธีออน (Pantheon) วิหารขนาดใหญ่อายุกว่า 2,000 ปี ถือเป็นอาคารในยุคโรมันที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งที่ยังคงหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน แต่เดิมวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าของโรมันแต่ในช่วงคริสตจักรเรืองอำนาจ วิหารแห่งนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นโบสถ์ในคริสต์ศาสนาจนถึงทุกวันนี้

15.30 น. เดินทางกลับขึ้นเรือสำราญ (ระยะทางประมาณ 82 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. 30 นาที)

18.00 น. เรือออกเดินทางสู่ เมืองกาดิซ (Cadiz / Cadice) ประเทศสเปน

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ที่พัก เรือสำราญ COSTA FORTUNA

วันอังคารที่ 9 เมษายน 2567

ล่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

อิสระพักผ่อนบนเรือสำราญ สามารถร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่มีมากมายบนเรือ ทั้งเลือกซื้อสินค้าปลอดภาษีหรือกิจกรรมต่างๆ ตามประกาศของเรือ

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ที่พัก เรือสำราญ COSTA FORTUNA


วันพุธที่ 10 เมษายน 2567

ล่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

อิสระพักผ่อนบนเรือสำราญ สามารถร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่มีมากมายบนเรือ ทั้งเลือกซื้อสินค้าปลอดภาษีหรือกิจกรรมต่างๆ ตามประกาศของเรือ

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ที่พัก เรือสำราญ COSTA FORTUNA

วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2567

กาดิซ (สเปน) – เซบีญ่า - กาดิซ

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

07.00 น. เรือจอดเทียบท่าที่ เมืองกาดิซ (Cadice / Cádiz) เมืองท่าโบราณในแคว้นอันดาลูเซีย (Andalusia) ทางตอนใต้ของคาบสมุทรไอบีเรีย เป็นศูนย์กลางบริหารทางทะเลในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ของกองทัพเรือสเปน ในสมัยศตวรรษที่ 16 ใช้เป็นฐานในการสำรวจและการค้า ทำให้เมืองมีความรุ่งเรืองมาก มีหอสังเกตการณ์มากกว่า 100 แห่ง รวมถึง หอคอย Torre Tavira อันโด่งดังที่มีอายุย้อนกลับไปได้ถึงช่วง ค.ศ. 1700 ที่ในอดีตเคยใช้ในการส่องเรือที่ผ่านเข้ามาในบริเวณ

08.30 น. เดินทางสู่ เมืองเซบีญ่า (Sevilla) (ระยะทางประมาณ 120 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. 30 นาที) เมืองหลวงของแคว้นอันดาลูเชีย (Andalusia) เมืองใหญ่อันดับ 4 ของสเปน ตัวเมืองส่วนใหญ่ของเซบีญ่าอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำกวาดาลกีบีร์ (Guadalquivir) ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน มีประวัติยาวนานจากปี 45 ก่อนคริสตกาลเมื่อจูเลียส ซีซาร์เข้ายึดครอง ต่อมาเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของแขกมัวร์มานานกว่า 800 ปี ทำให้เซบีญ่าได้รับอิทธิพลศิลปะแบบแขกมัวร์ค่อนข้างมาก

  • ถ่ายรูป พลาซาเดอเอสปานา (Plaza de Espana) จัตุรัสที่มีอาคารรูปครึ่งวงกลมที่งดงามและยิ่งใหญ่ มีตราประจำเมืองไล่เรียงตามอักษร เป็นสถานที่ซึ่งชาวเมืองมาพบปะสังสรรค์และทำกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ ร่วมกัน
  • ย่านบาริโอซานตาครูซ (Barrio de Santa Cruz) ซึ่งอดีตเคยเป็นชุมชนใหญ่ของชาวยิวมาตั้งแต่ช่วงยุคกลาง ต่อมายิวถูกขับไล่ออกจากพื้นที่โดยจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 3 (Ferdinand III) แห่งโรมัน ย่านนี้จะมีถนนแคบๆ เก่าแก่ปูด้วยหินแยกเป็นหลายสายและมีอาคารที่โดดเด่นงดงาม

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารจีน

  • เข้าชม มหาวิหารเซบีญ่า (Sevilla Cathedral) โบสถ์โกธิคที่ใหญ่ที่สุดในสเปน เดิมเคยใช้เป็นสุเหร่าในสมัยที่ปกครองโดยแขกมัวร์ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นโบสถ์คริสต์ มีความโดดเด่นในการออกแบบและพัฒนารูปแบบของสถาปัตยกรรมสไตล์อารากอน (Aragon) และกัสตีย่า (Castile) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (UNESCO) ในปี ค.ศ. 1987 ถัดจากมหาวิหารไปทางตะวันออกเฉียงเหนือจะพบกับหอระฆัง
    ฆีรัลดา
    (Giralda Tower) สร้างโดยชาวมุสลิมเพื่อใช้เป็นหอขานละหมาดของสุเหร่า บนยอดของหอมีรูปปั้นสำริดแกว่งได้ ซึ่งก็คือที่มาของชื่อหอคอยนั่นเอง ประกอบด้วยระฆังแบบหมุนไปรอบๆ 18 ใบ และระฆังลูกตุ้มอีก 6 ใบ นับเป็นมหาวิหารที่มีระฆังมากที่สุด

เดินทางกลับขึ้นเรือสำราญ (ระยะทางประมาณ 120 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. 30 นาที)

17.00 น. เรือออกเดินทางสู่เมืองลิสบอน (Lisbon) ประเทศโปรตุเกส

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ที่พัก เรือสำราญ COSTA FORTUNA

วันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2567

ลิสบอน - ซินทรา - แหลมโรกา – คาสคาย – เอสโทริล - ลิสบอน

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

10.00 น. เรือจอดเทียบท่าที่ เมืองลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงของโปรตุเกส 

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

12.30 น. เดินทางสู่ เมืองซินทรา (Sintra) หรือ ซิงตรา ในภาษาโปรตุเกส (ระยะทางประมาณ 30 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที) เมืองเล็กน่ารักที่ตั้งอยู่แนวเชิงเขาซินทราทางตะวันออกของมหาสมุทรแอตแลนติก ด้วยความสวยงามของเมืองทำให้ ยูเนสโก (UNESCO) รับรองให้ซินทราเป็นมรดกโลกทางภูมิทัศน์วัฒนธรรม (Cultural Landscape) ในปี ค.ศ. 1995

  • เดินทางสู่ แหลมโรกา (Cabo da Roca) (ระยะทางประมาณ 18 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที) แหลมที่ตั้งอยู่สุดเขตตะวันตกของทวีปยุโรป ทำให้มองเห็นมหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean) ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของประภาคารเก่าแก่ที่เปิดใช้งานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1772 ซึ่งมีอายุมากกว่า 200 ปีมาแล้ว
  • เมืองคาสคาย (Cascais) หรือ กัชไกช์ ในภาษาโปรตุเกส (ระยะทางประมาณ 20 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที) เมืองชายทะเลเล็กๆ ที่เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมงอันเงียบสงบ เคยเป็นที่แปรพระราชฐานในฤดูร้อนของกษัตริย์หลุยส์ที่ 1 ปัจจุบันคาสคายได้กลายมาเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยม ชมความงามของชายทะเล ร้านค้า บ้านเรือน ถนนที่ปูด้วยหินและก้อนกรวดที่มีสีสันลวดลายสวยงามแปลกตาและอาคารเก่าแก่ที่มีความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม
  • เมืองเอสโทริล (Estoril) (ระยะทางประมาณ 5 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที) เมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงบนชายฝั่งริเวียร่าของโปรตุเกส เป็นเมืองที่ได้รับสมญานามร่วมกับอีกสองเมืองคือ คาสคายและซินทรา ว่าเป็นสามเหลี่ยมทองคำ (Golden Triangle) เป็นเมืองเก่าที่มีเสน่ห์แต่มีความเป็นสากล ด้วยถนนที่เรียงรายไปด้วยแนวต้นปาล์ม คฤหาสน์ของชนชั้นสูง สนามกอล์ฟระดับโลก และความคลาสสิกของ
    รีสอร์ตสีพาสเทล

เดินทางกลับขึ้นเรือสำราญ (ระยะทางประมาณ 30 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที)

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ที่พัก เรือสำราญ COSTA FORTUNA

วันเสาร์ที่ 13 เมษายน 2567

ลิสบอน (โปรตุเกส) - ยิบรอลตาร์ (อังกฤษ)

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ชม เมืองลิสบอน (Lisbon) เมืองหลวงของโปรตุเกสที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 800 ปี และเคยประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 17 จึงทำให้อาคารเก่าแก่โบราณได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก ผู้นำคนสำคัญของเมืองคือ มาร์คิส เดอ ปองปาล (Marquis de Pombal) จึงได้เริ่มบูรณะและจัดวางผังเมืองลิสบอนใหม่ มีการสร้างถนนและอาคารสมัยใหม่มากมาย ทำให้ลิสบอนในปัจจุบันเป็นเมืองที่สวยงามมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง

  • ถ่ายรูป หอคอยเบเล็ม (Torre de Belem) ซึ่งในสมัยก่อนตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1515-1521 ใช้สำหรับเป็นหอคอยหน้าด่านและเป็นจุดทำพิธีก่อนที่จะปล่อยเรือให้นักสำรวจชาวโปรตุเกสออกเดินเรือเพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ ต่อมามีการถมดินเพิ่มขึ้นทำให้ปัจจุบันหอคอยไม่ได้ตั้งอยู่กลางน้ำอีกแล้ว ยูเนสโก (UNESCO) จัดให้หอคอยเบเล็ม เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1983
  • เข้าชม วิหารเจโรนิโมส (Jeronimos Monastery) ที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบมานูเอลไลน์ (Manueline) เป็นวิหารเก่าแก่สร้างในศตวรรษที่ 16 ที่กษัตริย์มานูเอลที่ 1 ทรงโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ วาสโก ดากามา ซึ่งได้เดินเรือสู่ประเทศอินเดียเป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1498 ยูเนสโก (UNESCO) ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1983 
  • ชม สะพาน 25 เมษายน (25 de Abril Bridge / Ponte 25 de Abril) สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในยุโรป มีความยาว 2,277 เมตร ทอดข้ามแม่น้ำทาร์กัส (Targus) เป็นสะพานสองชั้นสำหรับรถยนต์และรถไฟ เปิดใช้ครั้งแรกในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1966 ใช้ชื่อว่า สะพานซัลลาซาร์ (Salazar) เพื่อเป็นเกียรติแก่ Antonio de Oliveira Salazar ผู้นำเผด็จการผู้สั่งให้ก่อสร้าง ต่อมามีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1974 ในชื่อว่าปฏิวัติดอกคาเนชั่น (The Carnation Revolution) ชื่อของสะพานจึงถูกเปลี่ยนมาเป็นสะพาน 25 เมษายน มาจนทุกวันนี้
  • หากมีเวลาแวะลองชิม ทาร์ตไข่ (Portuguese Egg Tarts / Pastel de Nata) สูตรดั้งเดิมตามอัธยาศัย ที่ร้าน Pastéis de Belém ร้านเก่าแก่ที่เปิดขายมาตั้งแต่ปี 1837

เดินทางกลับเรือสำราญ

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

13.00 น. เรือออกเดินทางสู่ เมืองยิบรอลตาร์ (Gibraltar) เมืองท่าสำคัญและเป็นดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) เป็นเมืองที่อยู่ทางใต้สุดของคาบสมุทรไอบีเรีย ติดกับตอนใต้ของสเปน แต่เดิมยิบรอลตาร์เคยเป็นส่วนหนึ่งของสเปน จนกระทั่งเกิดสงครามชิงราชบัลลังก์สเปน นำไปสู่การทำสนธิสัญญาสันติภาพยูเทรกต์ (Treaty of Utrecht) เพื่อสงบศึกและสร้างสันติภาพในรัฐต่างๆ ของยุโรปรวมไปถึงสหราชอาณาจักร และสเปน จึงทำให้ดินแดนยิบรอลตาร์ตกเป็นของสหราชอาณาจักรนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1713 เป็นต้นมา

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ที่พัก เรือสำราญ COSTA FORTUNA

วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน 2567

ช่องแคบยิบรอลตาร์ (อังกฤษ)

เรือล่องผ่านช่องแคบยิบรอลตาร์ ที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญคั่นระหว่างยุโรปและแอฟริกาเหนือ ปากทางเข้าสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

(การเข้าและการท่องเที่ยวในเมืองยิบรอลตาร์ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของฝ่ายตรวจคนเข้าเมือง(ต.ม.) และข้อกำหนดของทางราชการ)

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

10.00 น. เรือจอดเทียบท่า เมืองยิบรอลตาร์(Gibraltar) ที่มีพื้นที่เพียง 6.8 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ The rock หรือ Rock of Gibraltar และในเมืองย่านถนนคนเดิน

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

12.30 น. ชม เมืองยิบรอลตาร์

  • ชม หินแห่งยิบรอลตาร์ (Rock of Gibraltar) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า เสาหินเฮอร์คิวลิส ซึ่งเป็นเขาหินปูนที่มีความสูง 426 เมตร (1,398 ฟุต) มีถ้ำเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ตามมุมต่างๆ หลายถ้ำ ส่วนชื่อเสาหินเฮอร์คิวลิสนั้นเกิดขึ้นจากตำนานในภารกิจที่ 10 ของเฮอร์คิวลิส เมื่อเขาผ่านมาถึงช่องแคบที่แยกยุโรปกับแอฟริกาออกจากกัน เขาได้เอาก้อนหินมาวางไว้ข้างละก้อน และหินสองก้อนนั้นก็ยังคงอยู่ตรงจุดนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ก้อนหินบนฝั่งยุโรปคือหน้าผาแห่งยิบรอลตาร์ ส่วนอีกก้อนคือ ภูเขาฮาโช (Hacho) ในเมืองเซวตา (Ceuta) ดินแดนของสเปนบนชายฝั่งแอฟริกาตรงข้ามกับยิบรอลตาร์นั่นเอง
  • ชม อุโมงค์แห่งยิบรอลตาร์ (Great Siege Tunnels) อุโมงค์ที่เพิ่งขุดขึ้นมาใหม่ในช่วงสงครามโดยทหารอังกฤษเพื่อยิงปืนสู่ศัตรูที่เข้ามาใกล้จนปืนใหญ่ไม่สามารถยิงได้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อุโมงค์นี้ถูกใช้เป็นสถานที่ที่ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรจำนวนกว่า 20,000 นายมาอาศัยอยู่
  • ชม ถนนสายหลัก (Main Street) แห่งเมืองยิบรอลตาร์ ที่อยู่ภายในตัวเมืองเก่าซึ่งมีกำแพงล้อมรอบ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1575 สมัยที่ปกครองโดยสเปน ต่อมาในปี ค.ศ. 1779-1783 เมืองนี้ถูกโจมตีครั้งใหญ่โดยกองเรือฝรั่งเศสและสเปน เนื่องจากถนนสายหลักอยู่ใกล้ท่าเรือจึงทำให้อาคารเกือบทุกหลังบนถนนสายนี้เกิดความเสียหายอย่างหนัก บนถนนสายหลักนี้มีโบสถ์ใหญ่และเล็กมากมาย

แวะชม อาสนวิหารเซนต์แมรี (Cathedral of St. Mary the Crowned) ที่สร้างขึ้นจากมัสยิดหลังเก่าของพวกแขกมัวร์ต่อมาคริสเตียนขับไล่แขกมัวร์ออกไปในปี ค.ศ. 1462 จึงได้สร้างขึ้นใหม่ในสไตล์โกธิค ต่อมาโบสถ์ถูกทำลายไปมากระหว่างสงคราม จึงมีการบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้งใน ปี ค.ศ. 1801

17.00 น. เดินทางกลับขึ้นเรือสำราญ

18.00 น. เรือออกเดินทางสู่ เมืองคาซาบลังกา (Casablanca) เมืองใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศโมร็อกโก (Morocco) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ที่พัก เรือสำราญ COSTA FORTUNA

*** (กรุณาจัดกระเป๋าและสิ่งของสำหรับพักค้างคืนที่โมร็อกโก 1 คืน และนำติดตัวลงมาจากเรือด้วยในเช้ารุ่งขึ้น) ***

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน 2567

คาซาบลังกา (โมร็อกโก) – ราบัต - เฟส

07.00 น. เรือจอดเทียบท่าที่ เมืองคาซาบลังกา (Casablanca) ซึ่งในภาษาสเปนหมายถึง “บ้านสีขาว” อดีตเคยเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ปัจจุบันบ้านเรือนสีขาวเหล่านั้นบนหลังคาเต็มไปด้วยจานดาวเทียมผุดขึ้นราวดอกเห็ด แต่เดิมคาซาบลังกาเป็นเพียงเมืองท่าเล็กๆ มาโด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเนื่องจากมีภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันออกฉายในปี ค.ศ. 1942 ทำให้ทุกวันนี้คาซาบลังกาได้กลายมาเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศและเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

08.00 น. เดินทางสู่ เมืองราบัต (Rabat) (ระยะทางประมาณ 90 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. 10 นาที) เมืองหลวงของโมร็อกโก ตั้งอยู่ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปตั้งแต่สมัยโรมัน ช่วงการขยายอาณานิคมในกลางศตวรรษที่ 11 ราบัตเคยถูกใช้เป็นป้อมปราการ ต่อมาในศตวรรษที่ 12 สามารถเอาชนะสเปนกับแอฟริกาเหนือได้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งในประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ถูกจารึกไว้ที่เมืองนี้ ราบัตได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมสมัย (Modern Capital and Historic City : a Shared Heritage) ในปี ค.ศ. 2012 จากสภาพบ้านเมืองที่มีเอกลักษณ์เป็นพิเศษ อันเกิดจากการผสมผสานระหว่างชุมชนมุสลิมดั้งเดิม กับการวางผังเมืองที่เป็นระบบที่เข้ามาพร้อมกับการยึดครองของฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคม ทำให้ราบัตมีทั้งกลิ่นอายจากยุคอดีตและความทันสมัยรวมอยู่ในที่เดียวกัน

  • ชม ภายนอกของพระราชวังหลวง (Royal Palace) หรือชื่อเป็นทางการว่า El Mechouar Essaid Palace พระราชวังสไตล์โมร็อกโกที่โดดเด่นและสวยงาม สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1864 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสที่ได้รับแรงบันดาลใจจากลวดลายอาหรับแบบดั้งเดิม ตัวอาคารล้อมรอบด้วยสวนสไตล์ฝรั่งเศส ในวันสำคัญทางศาสนากษัตริย์โมร็อกโกจะทรงม้าจากพระราชวังไปยังสุเหร่าหลวงเพื่อประกอบศาสนกิจต่างๆ
  • ชม สุสานกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 (Mausoleum of Mohammed V) ซึ่งเป็นสุเหร่าหลวงของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 และบุตรชายทั้งสอง คือ กษัตริย์ฮัสซันที่ 2 และเจ้าชายอับดุลลา สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1962 หลังจากที่กษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 สิ้นพระชนม์ไปแล้วหนึ่งปี ออกแบบและก่อสร้างโดยสถาปนิกชาวเวียดนาม ใช้แรงงานในการก่อสร้างกว่า 400 ชีวิต ภายนอกตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวเล่นลายด้วยสีดำตัดกับหลังคากระเบื้องสีเขียวมรกต ผนังด้านในประกอบด้วยไม้ซีดาร์ (Cedar) ปิดด้วยแผ่นทองคำแท้อร่ามตา ฝ้าเพดานเป็นลวดลายดั้งเดิมของราชวงศ์ประดับด้วยโคมไฟระย้า หรูหราสมกับเป็นที่พำนักสุดท้ายของกษัตริย์และราชวงศ์ผู้ปกครองโมร็อกโก ด้านตรงข้ามกับสุเหร่าจะมี หอคอยฮัสสัน (Hassan Tower) หรือสุเหร่าหลวงที่สร้างไม่เสร็จ เดิมเป็นหอคอยสูง 88 เมตร ปัจจุบันเหลือเพียง 44 เมตร เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกสทำให้มีผลกระทบมาถึงที่นี่

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารท้องถิ่น

เดินทางสู่ เมืองเฟส หรือ เฟซ (Fes / Fez) (ระยะทางประมาณ 205 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. 15นาที) เมืองโบราณและเมืองหลวงเก่าในศตวรรษที่ 8 เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์เมืองหนึ่งของศาสนาอิสลามจนได้รับการขนานนามว่าเมกกะแห่งตะวันตก (The Mecca of the West) และเอเธนส์แห่งแอฟริกา (Athens of Africa) เดิมเมืองนี้แบ่งเป็น 2 เมืองย่อยคือ เฟสเอลบารี (Fes el Bali) และ อัล อาเลีย (Al Alia) จนกระทั่ง ค.ศ. 1070 เมืองทั้งสองถูกรวมกันและต่อเติมพัฒนาเรื่อยมา ในปี ค.ศ. 1981 เมืองเฟสได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางประวัติศาสตร์ ในฐานะตลาดโบราณ หรือที่เรียกกันว่า เมดินา (Medina) ที่ยังคงมีการจับจ่ายใช้สอยอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ตัวตลาดโบราณแห่งนี้ยังถือว่าเป็นพื้นที่ปลอดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่และโครงสร้างที่ซับซ้อนของเมืองทำให้เฟสได้รับการขนานนามว่า “เมืองหมื่นตรอก”

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารในโรงแรมที่พัก

ที่พัก Menzeh Zalagh Deluxe Hotel 4* หรือเทียบเท่า

วันอังคารที่ 16 เมษายน 2567

เฟส - คาซาบลังกา (โมร็อกโก)

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารในโรงแรมที่พัก

เที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ในเมืองเฟส

  • ชม ประตูพระราชวัง (The Royal Palace) ที่สง่างามด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมร็อกโก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1276 ประตูเป็นทรงโค้งสูงรูปเกือกม้าสีทองอร่าม ประดับด้วยไม้และหินอ่อนตามศิลปะอิสลาม ผ่านเข้าสู่ เมืองเก่า (Fes el Bali) ทางประตูสีฟ้า (Blue Gate / Bab Boujloud Gate) ที่สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 ประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบสีฟ้าสลับขาว เดินไปตามถนนแคบๆ ซึ่งให้ความรู้สึกเสมือนย้อนเวลาไปสู่อดีต ภายในเมืองเก่ามีซอยเล็กซอยน้อยกว่า 10,000 ซอย โดยจะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ย่านพรม ย่านเครื่องจักสาน งานไม้แกะสลัก และย่านเครื่องเทศ (Souk El Attarine) ที่จะตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเครื่องเทศนานาชนิด ระหว่างเดินไปตามทางในตลาดเก่า (เมดินา) จะพบกับแหล่งน้ำธรรมชาติ (Nejjarin) สำหรับชาวมุสลิมได้ใช้ล้างมือ ล้างหน้าก่อนเข้าไปในบริเวณมัสยิด สองข้างทางอาจพบชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ หรือพบหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้ามิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้า แวะชม เมเดอร์ซาบูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) โรงเรียนสอนพระคัมภีร์ที่มีการตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่งดงาม 
  • ชม สุสานของมูเล ไอดริส (Moulay Idriss mausoleum) ผู้ก่อตั้งหลักของเมืองเฟสและปกครองโมร็อกโกตั้งแต่ปี ค.ศ. 807-828 สุสานตั้งอยู่ในใจกลางเขตเมืองเก่า (Fes el Bali) ซึ่งเป็นตลาดโบราณ (Medina) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และถือเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโมร็อกโก ทุกๆ ปีในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนจะมีนักแสวงบุญมาที่นี่เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาเปรียบได้กับเมืองเมกกะของประเทศซาอุดีอาระเบียเลยทีเดียว

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารท้องถิ่น

เดินทางกลับ เมืองคาซาบลังกา (ระยะทางประมาณ 300 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. 15 นาที)

  • เข้าชม สุเหร่ากษัตริย์ฮัสซันที่ 2 (Hassan II Mosque) สถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาที่ภายในสามารถจุผู้ร่วมพิธีได้ถึง 25,000 คน และบริเวณภายนอกยังรองรับผู้มาสวดมนต์ได้อีก 80,000 คน สร้างขึ้นในวาระเฉลิมฉลองพระชนม์พรรษาปีที่ 60 ของกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 แห่งโมร็อกโก เป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาว 200 เมตร กว้าง 100 เมตร และหอขานละหมาด (minaret) สูง 210 เมตร ศิลปะสไตล์โมร็อกโกที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ผสมผสานเข้าไปทั้งเครื่องทำความร้อนสำหรับอุ่นพื้น หลังคาเลื่อนเปิดให้แสงส่องเข้ามาได้ ประตูเหล็กบานใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้าเลื่อนขึ้น-ลง สุเหร่าสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1993 มีการตกแต่งอย่างงดงามอลังการ ถือเป็นสุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา

เดินทางกลับขึ้นเรือสำราญ

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

21.00 น. เรือออกเดินทางสู่ เมืองบาเลนเซีย (Valencia) ประเทศสเปน

ที่พัก เรือสำราญ COSTA FORTUNA

วันพุธที่ 17 เมษายน 2567

ล่องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

อิสระพักผ่อนบนเรือสำราญ สามารถร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่มีมากมายบนเรือ ทั้งเลือกซื้อสินค้าปลอดภาษีหรือกิจกรรมต่างๆ ตามประกาศของเรือ

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ค่ำ รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

ที่พัก เรือสำราญ COSTA FORTUNA

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2567

บาเลนเซีย (สเปน)

เช้า รับประทานอาหาร ณ ห้องอาหารบนเรือสำราญ

09.00 น. เรือจอดเทียบท่าที่ เมืองบาเลนเซีย (Valencia) เมืองหลักของแคว้นและจังหวัดบาเลนเซีย แคว้นปกครองตนเองที่ตั้งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จึงเป็นเมืองที่มีอากาศสบายๆ แบบเมดิเตอร์เรเนียน ตัวเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำตูเรีย (Turia River) มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ เป็นเมืองเก่าแก่มีประวัติความเป็นมาของการตั้งเมืองมาตั้งแต่ 139 ปีก่อนคริสตกาล

  • ชมภายนอกและถ่ายรูป วิหารประจำเมือง (Valencia Cathedral) ที่สร้างอยู่บนสถานที่ซึ่งเคยเป็นสุเหร่าเก่ามาก่อน โดยมีหลักฐานอยู่ที่ปีกด้านหนึ่งของมหาวิหารที่เรียกกันว่าประตูอัครสาวกว่าเคยเป็นทางเข้าของมัสยิด วิหารสร้างครั้งแรกในปี ค.ศ. 1262 และได้รับการต่อเติมอีกหลายครั้งทำให้มีการผสมผสานของศิลปะแต่ละยุคสมัย คือ โรมัน เรอเนซองส์ บาโรก และนีโอคลาสสิก บันทึกภาพความงดงามของซุ้มประตูสาวกทั้ง 12 ด้านหน้าประตูทางเข้าสู่ภายในมหาวิหาร
  • ถ่ายรูป ป้อมเซอร์รานอส (Serranos Towers) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวกำแพงเมืองโบราณที่สร้างขึ้นในปลายศตวรรษที่ 14 ระหว่างปี ค.ศ. 1392-1398 ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเขตเมืองเก่า เซอร์รานอสเป็นหนึ่งในสิบสองประตูของกำแพงเมืองเก่า ที่ปัจจุบันเหลือเพียง 2 ประตูเท่านั้น จึงเป็นอนุสรณ์สถานที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี 

กลางวัน รับประทานอาหาร ณ ร้านอาหารจีน

  • ชม เขตเมืองเก่า ซึ่งมีอาคารทางประวัติศาสตร์มากมายในบริเวณใกล้เคียง อาทิ จัตุรัส Virgen ซึ่งใกล้กันนั้นจะเป็นกลุ่มอาคารสไตล์บาโรกแห่งแรกๆ ของสเปน
  • ถ่ายรูป อาคารลอนจาเดลาเซดา (Lonja de la Seda) หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Silk Exchange อาคารศิลปะโกธิคที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นยุคทองของบาเลนเซีย ใช้สำหรับเป็นสถานที่ที่พ่อค้าผ้าไหมมาเจรจาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ได้รับการขึ้นทะเบียน
Home | Hotels | Domestic Flights | International Flights | Inter Tour Packages | Thai Tour | Last-minutes Tour | Cruise | About Us | Contact Us | Privacy Statement
Copyright © 2003 eTravelWay.com All rights reserved by VR Agency Travel & Trade Co., Ltd.,
Travel License no. 11/11450
facebook
tel
TOP